มารู้จักกับโรคเรื้อน(+เรื้อนกวาง) ตอนที่ 2 สาเหตุ

หากจะพูดถึงโรคเรื้อน จะต้องย้อนกลับไปที่ศาสตร์การแพทย์ยุคโบราณมีความคิดพื้นฐานว่าร่างกายของมนุษย์เรามีธาตุหลักทั้ง 4 ธาตุ คือธาตุดิน 20 ประการ ธาตุน้ำ 12 ประการธาตุลม 6 ประการ และธาตุไฟ 4 ประการ 

ในคนที่เจ็บป่วยหมายถึงธาตุทั้ง 4 นี้เสียสมดุลไป คนที่แข็งแรงธาตุทั้ง4เหล่านี้จะมีพร้อมอย่างสมดุล

ในการเรียกความเจ็บป่วยแต่ละชนิด คัมภีร์แพทย์โบราณจะใช้คำว่า “พิการ” เชื่อมกับอวัยวะหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย 

ในส่วนของโรคอาการทางผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นผื่น เม็ด ไฝ ฝ้า ปาน หูด นั้นอาจจะเกิดจากผิวหนังโดยตรง หรืออาจจะเกิดจากส่วนลึกใต้ชั้นผิวหนังของเรา ซึ่งเป็นเลือด เนื้อ ต่อมน้ำเหลือง หรืออวัยวะต่างๆที่มีปัญหา หรือเรียกว่าพิการนั่นเอง

ในส่วนของโรคเรื้อน ในคัมภีร์กุฎฐโณค ได้พูดแยกถึงสาเหตุไว้ดังนี้

• โรคเรื้อนมีสาเหตุเกิดจากธาตุทั้ง 4 เสียสมดุลไป ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
• โรคเรื้อนเกิดจากชาติสัมพันธ์ตระกูล หรือพันธุกรรมนั่นเอง
• โรคเรื้อนเกิดด้วยสามัคคีรส หรือหลับนอนมีเพศสัมพันธุ์
• โรคเรื้อนเกิดด้วยอุปปาติก ซึ่งหมายถึงเกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีสาเหตุแน่ชัด ทั้งๆที่ธาตุหลักทั้ง4ไม่ได้แปรปรวนเสียสมดุลไป

นอกจากนี้ยังกล่าวไว้ว่า โรคเรื้อนมีสาเหตุแหล่งต้นกำเนิดมาจาก 2 แหล่ง คือ

1. เกิดในกระดูก เรียกว่า กุฏฐัง ซึ่งเป็นแบบที่กล่าวว่ารักษาไม่หาย
2. เกิดในชิ้นเนื้อ เรียกว่า โรคเรื้อน ซึ่งมีโอกาสรักษาหายได้ แต่รักษายาก

และอธิบายเพิ่มเติมว่า  โรคเรื้อนที่มีสาเหตุจากธาตุทั้ง 4 เสียสมดุล มักจะมีลักษณะอาการแตกต่างกันดังนี้

1. ธาตุดินเสียสมดุล – มักมีอาการปวดเมื่อยกระดูก เมื่อยข้อ เมื่อยเส้นเอ็น ผิวมีลักษณะสาก มักปรากฎอาการขึ้นที่บริเวณส่วนหูก่อน แล้วค่อยลามไปบริเวณใบหน้า และปล่อยทิ้งไว้จะลามไปทั่วทั้งตัว ในระยะยาวอาจทำให้นิ้วมือนิ้วเท้าบวม น้ำเหลืองเน่า กินผิวกินเนื้อจนกุดเข้าไปได้
2. ธาตุน้ำเสียสมดุล – มักจะรู้สึกเข้าไปเสียวถึงในผิว เนื้อ และเส้นเอ็น เมื่อรู้สึกอาการจุดใด มักจะเกิดผิวหนังผิดปกติผุดขึ้นมาแบบเม็ดเล็กๆเท่าเมล็ดถั่วเมล็ดงา คล้ายกับเป็นเกลื้อนเริ่มต้นแล้วขยายใหญ่เท่าใบมะขามในภายหลัง เมื่อลามใหญ่ส่วนที่เป็นมักจะด้านชา หยิกไม่เจ็บ และอาจเกิดอาการเมื่อยและบวมตามนิ้วมือนิ้วเท้าข้อต่อ และอาจกัดกินเข้าเนื้อ ทั้งนิ้วมือนิ้วเท้า น้ำเหลืองเน่าผิวเปื่อย อาจมีอาการผิวหน้าเป็นเหมือนผิวมะกรูด ใบหูหนาขึ้น มักจะประกอบไปร่วมกันระหว่างเลือดเสียและน้ำเหลืองเสีย
3. ธาตุลมเสียสมดุล – ลมในร่างกายจะพัดเข้าไปในผิวหนังและเนื้อ ทำให้เนื้อบริเวณนั้นมีลักษณะแข็งด้านชา หยิกไม่เจ็บ และอาจมีอาการผิวแตก เน่าเปื่อยเหม็น และกินเข้ากระดูกจนกระดูกผุ 
4. ธาตุไฟเสียสมดุล – มักจะมีอาการปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย เกิดอาการร้อนๆหนาวๆเหมือนจะเป็นไข้ แล้วเกิดเม็ดแดงๆตามผิวหนัง มักจะเริ่มจากบริเวณหูก่อนแล้วลามเป็นผื่นผุดแดงๆไปขึ้นใบหน้า แก้ม หน้าผาก เหมือนมดตะนอย และเมื่อปล่อยทิ้งไว้นานเข้าลักษณะตัวอาจเหมือนพุพองโดนไฟลาม จนบวมและเปื่อย ลงกระดูกได้ จะรักษายากขึ้น

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ