ในการแพทย์แผนปัจจุบันมีวิธีการรักษาสะเก็ดเงินเบื้องต้นแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
1.ยาทาผื่นสะเก็ดเงิน
มีการใช้ครีม/ยาทาบริเวณผื่นเพื่อแก้ปัญหาผื่นสะเก็ดเงินระดับกลางหรือเบาที่ไม่รุนแรงเกินไป มักจะมีการใช้ยาทาร่วมกับยารับประทานหรือการรักษาด้วยแสง กลุ่มยาที่ใช้สำหรับสะเก็ดเงินได้แก่
- คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Topical corticosteroids) คือ ยาที่ใช้กันบ่อยสุด และแพทย์ผิวหนังมักจะสั่งจ่ายยานี้แก่ผู้ป่วย ทำหน้าที่ช่วยลดอาการอักเสบ แก้อาการคัน เป็นยาในกลุ่มสเตียรอยด์
- ในกลุ่มที่มีฤทธิ์อ่อนจะใช้กับบริเวณผิวบอบบาง เช่นบริเวณใบหน้า ข้อพับต่างๆ และผื่นที่มีบริเวณกว้าง
- แพทย์จะใช้กลุ่มที่มีฤทธิ์รุนแรงขึ้นสำหรับผิวหนังบริเวณที่ไม่บอบบาง หรือเป็นจุดเล็กๆ
- ผลข้างเคียงในการใช้ระยะยาว อาจทำให้ผิวบอบบางแพ้ง่าย และอาจจะลดประสิทธิภาพลงไม่ทำงานได้ดีเหมือนเก่า ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เป็นยาชนิดที่เหมาะกับการใช้ในระยะสั้นๆเท่านั้น
- วิตามินดี (Vitamin D) ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินดีสังเคราะห์นี้ทำหน้าที่ชะลอการแบ่งเซลล์ผิวให้ช้าลง
- ผลข้างเคียง อาจเกิดการระคายเคืองผิว
- แอนทราลิน (Anthralin) ทำหน้าที่ยับยั้งการแบ่งตัวสร้างเซลล์ผิวใหม่ และยังช่วยกำจัดผื่นสะเก็ดทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- ผลข้างเคียง อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิว และทำให้สีผิวคล้ำขึ้นในบริเวณที่ทายานี้ได้ มักจะทาในระยะเวลาสั้นแล้วรีบล้างออก
- เรตินอยด์ วิตามินเอ (Topical retinoids) ทำหน้าที่ช่วยลดการอักเสบ
- ผลข้างเคียง เกิดการระคายเคืองผิวได้ง่าย ทำให้ผิวไวต่อแดด ดังนั้นแนะนำทาครีมกันแดดร่วมด้วยในระหว่างการใช้ นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงในรูปแบบทาจะน้อยกว่าแบบรับประทาน
- ชนิด Tazarotene (Tazorac, Avage) ไม่ควรใช้ในผู้หญิงตั้งครรภ์ ผู้หญิงให้นมบุตร หรือผู้ที่ตั้งใจจะตั้งครรภ์
- ยาทากลุ่ม Calcineurin inhibitors) ทำหน้าที่ลดการอักเสบ และลดการขึ้นผื่น เหมาะเป็นพิเศษกับบริเวณผื่นที่ขึ้นบริเวณผิวบอบบาง เช่นรอบดวงตา ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่สามารถใช้ยาทากลุ่มสเตียรอยด์ หรือ เรตินอยด์ได้ เพราะทำให้เกิดการระคายเคืองและเป็นอันตรายกับดวงตาได้
- ผลข้างเคียง ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- ยา Salicylic acid ทำหน้าที่ช่วยกำจัดเซลล์ผิวตายให้ออกเร็วขึ้น พร้อมกับลดการเกิดผื่นใหม่ สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา หรือสั่งทางแพทย์โรงพยาบาลคลินิกได้ มีทั้งในรูปแบบแชมพูและผลิตภัณฑ์ดูแลหนังศรีษะ มักจะใช้ร่วมกับยาทากลุ่มอื่น เช่น ยาทากลุ่ม Calcineurin inhibitors หรือ ยาทากลุ่มน้ำมันดิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น
- ยาทากลุ่มน้ำมันดิน (Coal tar) เป็นสารสกัดจากถ่านหิน ทำหน้าที่ช่วยลดผื่น แก้อาการอักเสบและอาการคัน มีทั้งในรูปแบบแชมพูสระผม ครีมและน้ำมันทา และมีความเข้มข้นหลายระดับ
- ผลข้างเคียง อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวเช่นกัน และมักจะใช้ยุ่งยากบางด้าน เช่น สีติดตามเสื้อผ้า และมีกลิ่นแรง และไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตร
- ครีมให้ความชุ่มชื้น (Moisturizer)
- การใช้ครีมหรือสารให้ความชุ่มชื่นต่างๆเป็นการแก้ชั่วคราว โดยไม่ได้ใช้รักษาสะเก็ดเงิน แต่ใช้ช่วยลดอาการแห้งและคันของผิวเป็นหลัก สารให้ความชุ่มชื่นที่ได้ผลดีจะเป็นกลุ่มที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสม มักจะใช้ได้ผลดีกว่ากลุ่มโลชั่นหรือครีมทั่วไป แนะนำใช้ทาหลังอาบน้ำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผิวมักจะแห้งเป็นพิเศษ
2.การรักษาสะเก็ดเงินด้วยแสง (Light therapy/Phototherapy)
การใช้แสงในการรักษาสะเก็ดเงินจะใช้ได้ทั้งแสงธรรมชาติ และแสงสังเคราะห์ ตัวอย่างวิธีการที่ง่ายที่สุดคือการอาบแดด โดยมีการควบคุมช่วงเวลาและปริมาณที่ได้รับให้เหมาะสมก็เป็นการบำบัดด้วยแสงอย่างหนึ่ง
นอกจากนั้นมักมีการใช้แสงอัลตราไวโอเลตสังเคราะห์ UVA หรือ UVB โดยอาจจะใช้เป็นแสงชนิดเดียวหรือสองชนิดร่วมกันในการบำบัด
- แสงแดด – การได้รับแสงอัลตราไวโอเลตธรรมชาติ หรือแสงยูวี (UV) จากพระอาทิตย์โดยตรง รวมถึงแสงสังเคราะห์ จะช่วยลดอาการอักเสบ การเกิดผื่น และลดการผลัดเซลล์ผิวใหม่ที่เร็วเกินไป แต่ว่าจะต้องได้รับการควบคุมปริมาณที่สมดุลไม่ให้มากไปน้อยไป เพราะหากได้รับในปริมาณที่พอดีอาจช่วยบรรเทาผื่นสะเก็ดเงินได้ แต่ถ้าได้รับแสงแดดเข้มข้นหรือมากเกินไป อาจทำให้อาการแย่ลงและทำให้ผิวเกิดความเสียหายได้ ดังนั้นก่อนบำบัดด้วยวิธีการนี้ ควรปรึกษาแพทย์และศึกษาให้ทราบรายละเอียดที่ครบถ้วนก่อน
- การฉายแสงอัลตราไวโอเลต UVB ชนิดคลื่นความถี่กว้าง (Broadband UVB phototherapy) – เช่นเดียวกันควรมีการควบคุมปริมาณที่เหมาะสม มักจะใช้ในการบำบัดผื่นที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยา
- ผลข้างเคียงในระยะสั้นอาจทำให้ผิวแดง ผิวแห้ง และอาการคันได้ แนะนำอาจใช้ร่วมกับยาทากลุ่มมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื่นขึ้น
- การฉายแสงอัลตราไวโอเลต UVB ชนิดคลื่นความถี่แคบ (Narrow band UVB phototherapy) – เป็นวิธีการบำบัดสะเก็ดเงินแบบใหม่ ซึ่งอาจจะมีประสิทธิภาพดีกว่าชนิดคลื่นความถี่กว้าง โดยมักจะเข้าฉายแสงประมาณ 2-3ครั้งต่ออาทิตย์จนกว่าผื่นสะเก็ดจะดีขึ้น แล้วจึงลดปริมาณลง
- ผลข้างเคียง อาจทำให้เกิดปัญหาผิวไหม้ที่รุนแรงเรื้อรังได้
- การรักษาแบบ Goeckerman therapy – เป็นการรักษาที่รวมการรักษาในรูปแบบ UVB กับการใช้น้ำมันดินไว้ด้วยกัน เพราะน้ำมันดินจะทำหน้าที่ช่วยให้ผิวมีผลตอบรับต่อการให้แสงมากขึ้น
- การรักษาผื่นผิวหนังโรคสะเก็ดเงินด้วยแสงอัลตราไวโอเลต เอร่วมกับสารเคมี (Psoralen plus ultraviolet A (PUVA) ) โดยจะมีการใช้แสงอัลตราไวโอเลตร่วมกับสารเคมีกลุ่ม Psoralens โดยจะมีทั้งรูปแบบยาทาและยารับประทาน ก่อนที่จะเข้ารับการฉายแสง UVA แสง UVA นี้จะเข้าสู่ผิวได้ลึกกว่า UVB และสารเคมีกลุ่ม Psoralens นี้จะทำให้ผิวหนังของเรามีการตอบสนองต่อการฉายแสง UVA มากขึ้น รูปแบบนี้มักใช้ในผู้ป่วยสะเก็ดเงินในระยะรุนแรง
- ผลข้างเคียง อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว ปวดแสบร้อน คัน คลื่นไส้อาเจียนได้เป็นผลข้างเคียงระยะสั้น และในระยะยาวอาจทำให้เกิดปัญหาผิวแห้งเสีย เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย ฝ้ากระ และทำให้ผิวไวต่อแดด แพ้แดดได้ง่ายขึ้น และยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเนื้องอกและโรคมะเร็งผิวหนัง
- เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer laser) คือการบำบัดรักษาสะเก็ดเงินด้วยแสงอีกแบบหนึ่ง ใช้สำหรับผื่นระดับน้อยถึงปานกลาง จะช่วยบริเวณผื่นสะเก็ดเงินโดยไม่ทำอันตรายกับผิวหนังส่วนปกติ โดยจะมีการคุมแสง UVB แบบเข้มข้น ให้โดนผื่นโดยตรง เพื่อช่วยไม่ให้ผื่นขยายและป้องกันการอักเสบ การรักษาในแบบเอ็กไซเมอร์เลเซอร์มีความถี่ในการเข้ารับการรักษาน้อยกว่าการฉายแสงบำบัดกลุ่มอื่นๆ
- ผลข้างเคียงอาจทำให้เกิดรอยแดง หรือตุ่มพุพองได้
3.ยารักษาสะเก็ดเงินชนิดรับประทาน หรือฉีด
ยารักษาสะเก็ดเงินในรูปแบบรับประทานหรือแบบฉีด ส่วนใหญ่จะใช้ในผู้ป่วยสะเก็ดเงินขั้นรุนแรง หรือไม่ตอบสนองกับการรักษาในรูปแบบอื่น แต่มักจะมีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง จึงมักจะนำมาใช้ในระยะเวลาสั้นๆ และใช้สลับร่วมกับการรักษาในรูปแบบอื่น ยาสะเก็ดเงินที่มักใช้กันมีดังต่อไปนี้
- เรตินอยด์ (Retinoids) มีการแนะนำใช้เรตินอยด์ในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ค่อยตอบสนองกับการรักษาแบบอื่น
- ผลข้างเคียง อาจทำให้เกิดการอักเสบบริเวณริมฝีปาก และผมร่วงได้ และอาจทำให้เกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์และความผิดปกติในเด็กทารกแรกเกิด ต้องระวังอย่างมากโดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงไม่รับยากลุ่มนี้อย่างน้อย 3 ปีก่อนการตั้งครรภ์
- Methotrexate เป็นยาชนิดรับประทาน ทำหน้าที่ช่วยลดการเกิดเซลล์ผิวใหม่ และต้านอักเสบ และในบางคนยังช่วยได้ในเรื่องชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อนกลุ่มข้อต่ออักเสบที่มาจากสะเก็ดเงิน
- ผลข้างเคียง ในปริมาณที่น้อยอาจไม่แสดงผลเสียมาก อาจจะมีอาการท้องเสีย ท้องปั่นป่วน ไม่อยากอาหาร และความเหนื่อยล้าเพลียง่ายร่วมด้วยระหว่างการรักษา และหากใช้ในระยะยาว อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงหลายด้าน เช่น ปัญหาโรคตับเสื่อม การสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวแย่ลง เป็นต้น
- Cyclosporine จะเป็นตัวกดภูมิคุ้มกัน และมีผลประสิทธิภาพคล้ายยา Methotrexate
- ผลข้างเคียง ยาชนิดนี้จะใช้ในระยะสั้นเท่านั้น เช่นเดียวกับกลุ่มยากดภูมิคุ้มกันทั่วไป เพราะยาCyclosporine จะทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อและปัญหาสุขภาพต่างๆมากขึ้นในระยะยาว และยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งและโรคความเสื่อมต่างๆ เช่น โรคไต โรคความดันสูง โดยเฉพาะยิ่งหากมีการเพิ่มโด้สปริมาณการทานและการทานต่อเนื่องในระยะยาวขึ้นก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น
- กลุ่มยาที่ปรับเปลี่ยนภูมิคุ้มกัน (Biologics) ยากลุ่มนี้มักจะแนะนำใช้บำบัดผู้ป่วยสะเก็ดเงินในกลุ่มระดับกลางถึงระดับรุนแรง
- ผลข้างเคียง ยากลุ่มนี้ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะว่ามีผลรุนแรงต่อระบบภูมิคุ้มกันของเรา และอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ถึงแก่ชีวิตได้เลย เช่น เชื้อวัณโรค ไข้หวัดใหญ่
- ตัวอย่างยาเช่น etanercept (Enbrel), infliximab (Remicade), adalimumab (Humira), ustekinumab (Stelara), golimumab (Simponi), apremilast (Otezla), secukinumab (Cosentyx) และ ixekizumab (Taltz) ยาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะใช้วีธีฉีดเข้าสู่ร่างกาย และมักใช้ในผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาในรูปแบบอื่นๆ หรือผู้ที่มีปัญหาโรคข้ออักเสบจากสะเก็ดเงินร่วมด้วย
- กลุ่มยาอื่นๆ เช่น Thioguanine (Tabloid) and hydroxyurea (Droxia, Hydrea) อาจนำมาใช้ในกรณีที่ไม่สามารถใช้ยาอื่นๆได้
ขอแนะนำอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยสะเก็ดเงิน
บทความอื่นที่น่าสนใจ
5 อันดับ ยาสมุนไพรยอดนิยมช่วยแก้โรคสะเก็ดเงินได้
โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นโรคที่เกิดจากผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ในทางแผนปัจจุบันสาเหตุยังไม่ทราบอย่างแน่ชัด ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิกันในร่างกายจนทำให้เกิกการอักเสบ…
ระวัง! 10 สาเหตุปัจจัยที่ทำให้โรคสะเก็ดเงินเห่อ
โรคสะเก็ดเงิน มีสาเหตุปัจจัยที่ทำให้ผื่นเห่อกำเริบได้หลายอย่าง ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด และมักจะเป็นหลายๆปัจจัยผสมกันจนทำให้ร่างกายแปรปรวนไป ที่สำคัญมีดังนี้…
มารู้จักกับโรคเรื้อน(+เรื้อนกวาง) ตอนที่ 2 สาเหตุ
หากจะพูดถึงโรคเรื้อน จะต้องย้อนกลับไปที่ศาสตร์การแพทย์ยุคโบราณมีความคิดพื้นฐานว่าร่างกายของมนุษย์เรามีธาตุหลักทั้ง 4 ธาตุ คือธาตุดิน…